[สัตว์ในเทพนิยาย] เยติ


 เยติ (Yeti) หรือ มนุษย์หิมะ (The Abominable Snowman) เป็นมนุษย์วานรในตำนานของชาวภูเขาในเทือกเขาหิมาลัย ประเทศเนปาล คำว่า เยติ เป็นคำที่ชาวเซอร์ปาร์ผู้ที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูงใช้เรียกมนุษย์วานรนี้
     เยติ มีประวัติอันยาวนานมากที่สุดในบรรดาเรื่องราวของมนุษย์วานรทั้งหมดของชาวภูเขาคนที่เคยเห็นมันเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ มูลของมันถูกนำมาวิเคราะห์ รอยเท้าถูกบันทึกภาพไว้และ ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง เยติเริ่มเป็นที่รู้จักโดยบุคคลภายนอกจากนักบุกเบิก ในปลายยุค 1950 และ 1960
 เยติเป็นตำนานที่มีค่าทางพาณิชย์กับประเทศเนปาล นำรายได้จากชาวต่างชาติ มีสายการบิน เยติแอร์ไลน์ และโรงแรม แยกแอนด์เยติ (Yak and Yeti, Yak หมายถึง จามรี)
     ณ วัดแห่ง หนึ่ง ในร่มเงาของยอดเขาเอเวอเรสต์ ท่านเจ้าอาวาสบอก ว่า มักจะมีฝูงเยติมาเยือนทางวัดอยู่ เสมอในแต่ละปี คำบรรยายที่มีสีสันของการโจมตีโดยเยติถูกรายงาน ไปยังกาฐมาณฑุ เด็กหญิงชาวเชอร์ปา ผู้หนึ่งชื่อว่า ลาคห์หาโดมานิ " เราไม่สามารถหาคำอธิบายอื่นใด ได้นอกจากว่านั้นคือ สิ่งมีชีวิตที่ไม่ปรากฏหลักฐานที่ยังต้องทำการ ค้นหากันต่อไป " 
มนุษย์หิมะ - เยติ (The Abominable Snowman) อโบมิเนเบิ้ล สโนว์แมน หรือที่ชาวเซอร์ปาร์เรียกว่า เยติ มีประวัติอันยาวนานมากที่สุดในบรรดาเรื่องราวของมนุษย์วานรทั้งหมดของชาวภูเขา มันเข้าไปพัวพันอยู่ในความเพ้อฝัน ศาสนา ตำนาน เล่ห์ลวง และการค้า คนที่เคยเห็นมันเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ มูลของมันถูกนำมาวิเคราะห์ รอยเท้าถูกบันทึกภาพไว้และทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง มันถูกจัดให้เป็นตำนานโดยบันทึกภาพไว้และทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง มันถูกจัดให้เป็นตำนานโดยนักบุกเบิกในปลายยุค 1950 และ 1960 แต่ตอนนี้หลักฐานกากรดำรงอยู่ของมันดูเหมือนจะหนักแน่นขึ้นทุกวัน
  นักเดินทางคนหนึ่งที่จะไปยังกาฎมันฑุต้องเข้าไปพัวพันอยู่ในธุรกิจของเยติก่อนที่เขาจะไปถึงเนปาลเสียอีก สายการบินแห่งชาติเนปาลบินเฉียดไปบนเขตภูเขาที่ต่ำที่สุด ผ่านหมู่บ้านที่ตั้งกันอยู่อย่างเปะปะบนยอดเขา จากนั้นในทันทีทันใดแนวของยอดสูงสุดของเทือดเขาหิมาลัยก็ปรากฎแก่สายตาเป็นสีขาวหยัก ส่วนที่เหลือถูกกันออกไปโดยเมฆ อันเป็นแซงกรีลาหรือแดนสุขาวดี หมู่บ้านลึกลับ ชนเผ่าที่ไม่มีใครรู้จัก เยติ ทั้งหมดดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ในช่องที่ติดอยู่กับที่นั่งในเครื่องบิน มีเมนูสำหรับสายการบินเยติแอร์ไลน์ และโรงแรมใหม่ที่คุณจะได้เข้าพักสร้างโดยเวิร์ลด์แบงค์ มีชื่อว่า แยกแอนด์เยติ (YAK AND YETI , YAK หมายถึง จามรี) เยติเป็นตำนานที่มีค่าทางพาณิชย์มาก บางทียังอาจเป็นรายได้หลักของประเทศเนปาลที่ได้จากชาวต่ เรื่องราวของเยติซึ่งเป็นอสูรกายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเทือกเขาหิมาลัย เป็นตำนานในหมู่ของชาวเนปาล โดยเฉพาะชาวเชอร์ปาผู้ที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูง ณ วัดแห่งหนึ่งในร่มเงาของเทือกเขา เอเวอร์เรส ท่านเจ้าอาวาสบอกว่ามักจะมีฝูงเยติมาเยือนทางวันอยู่เสมอในแต่ละปี คำบรรยายที่มีสีสันของการโจมตีโดยเยติถูกรายงานไปยังกาฎมันฑุ เด็กหญิงชาวเชอร์ปาผู้หนึ่งชื่อว่า ลาคห์หาโดมานิ ได้บอกเล่าเหตุการณ์หนึ่งให้กับวิเลียม เวบเบอร์ ซึ่งเป็นอาสาสมัครของพชคอร์พส์ที่ทำงานในหมู่บ้านมาชเชอร์มา ในแถบเอเวอร์เรส เด็กหญิงกล่าวว่า เธอนั่งอยู่ที่ริมลำธารเพื่อดูฝูงจามรีของเธอตอนที่เธอได้ยินเสียงหนึ่งและได้หันไปเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่คล้ายลิงตัวใหญ่ มันมีดวงตาที่ใหญ่โตและกระดูกโหนกแก้มนูนขึ้นมา ตัวของมันปกคลุมด้วยขนสีดำและน้ำตาลแดง มันตรงเข้าคว้าตัวเธอและแยกเธอไปยังลำธาร แต่ดูเหมือนเสียงกรีดร้องของเธอจะทำให้สัตว์ตัวนั้นตกใจจนปล่อยเธอลง จากนั้นมันก็เข้าโจมตีจามรีสองตัวของเธอ มันฆ่าตัวหนึ่งโดยการทุบ และอีกตัวโดยการจับเขามันและบิดคอ เหตุการณ์นี้ได้ถูกรายงานไปยังตำรวจของท้องถิ่นและตรวจพบรอยเท้าของมัน เวบเบอร์กล่าวว่า "เธอจะหลอกเราไปเพื่อเหตุใดกันล่ะ ข้อสรุปของผมคือว่าเด็กคนนั้นพูดจริง"
 หลักฐานของเยติแบ่งออกเป็นสามประเภทใหญ่ ๆ คือ รอยเท้า ,ผู้ที่พบเห็นตัวมัน และหลักฐานทางกายภาพ เช่นกะโหลกและหนังของมัน
      รอยเท้าเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความสนใจอย่างมาก มีการรายงานถึงรอยเท้าของมันโดยชาวตะวันตกตั้งแต่ปี 1887 และจากนั้นโดยเจ้าหน้าที่ของกองทัพอังกฤษผู้หนึ่ง บนเทือกเขาเอเวอร์เรสท์ที่ระดับความสูง 6,400 เมตร ในปี 1921 มันเป็นรูปถ่ายรอยเท้าที่น่าสนใจ เอฟ เอส สมิธธี เป็นคนแรกที่ถ่ายภาพไว้ที่ความสูง 5,029 เมตร ในปี 1937 ภาพถ่ายของอีริค ชิพตั้น ที่ถ่ายโดยมีขวานขุดหิมะวางไว้ข้าง ๆ เพื่อเทียบสัดส่วน เป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาอย่างจริงจัง ในปี 1978 แม็คนีลลี่และดครนิน นักสำรวจชาวอเมริกันพบรอยที่ชัดเจนและลึกพอที่จะหล่อปูนปลาสเตอร์ได้ ในปีถัดมา ลอร์ดฮันท์ ได้พบรอยเท้าและรูปที่เขาถ่ายมาในปี 1978 ได้แสดงให้เห็นถึงรอยเท้าที่มีขนาดใหญ่โต ยาว 35.6 เซนติเมตร และกว้า 17.7 เซนติเมตร 

 ในการบรรยายที่ รอยัล จีโอกราฟฟิค โซไซเอตี้ ในกรุงลอนดอน ลอร์ดฮันท์ได้กล่าวว่า
      "พวกเราอยู่ด้านข้างของหุบเขาตอนล่างของเทือกเขาเอเวอร์เรสต์ มันเป็นตอนหัวค่ำและเริ่มจะมืด ผมและภรรยาได้เดินมาพบรอยเท้า พวกมันยังใหม่อยู่และผมบอกได้เลยว่ามันเกิดขึ้นในวันนี้อย่างแน่นอน มีหิมะที่ลึกบนทางที่ค่อนข้างชันและสิ่งมีชีวตินั้นหนักเอาการทีเดียว เพราะมันกดทับหิมะลงไปเป็นผิวที่แข็ง จนพวกเราเดินไปบนนั้นได้โดยไม่สร้างร่องรอยใด ๆ เลย รอยเท้าเป็นรูปไข่ขนาดใหญ่ ผมวางขวานขุดน้ำแข็งลงข้าง ๆ เพื่อวัดได้ความยาว 35 เซนติเมตร และกว้างประมาณครึ่งหนึ่งของความยาว"
        ลอร์ด ฮันท์ ผู้ที่ได้เห็นรอยเท้าของมันหลายครั้งหลายหน ในช่วงประมาณ 30 ปี และได้ยินสิ่งที่เรียกว่า "เสียงกู่ร้องโหยหวน" "เราไม่สามารถหาคำอธิบายอื่นใดได้นอกจากว่านั้นคือ สิ่งมีชีวิตที่ไม่ปรากฎหลักฐานที่ยังต้องทำการค้นหากันต่อไป"
ศัลยแพทย์นักไต่เขาชาวอังกฤษ ไมเคิล วาร์ด อยู่กับน อีริค ชิพตั้นในปี 1951 เมื่อเขาได้ทำการบันทึกภาพรอยเท้าไว้ "พวกเราอยู่ทางตะวันตกของเทือกเขาเอเวอร์เรสต์" เขาบอก "และเราข้ามเขตภูเขากว้างใหญ่ในระดับความสูงประมาณ 5,791-6,961 (19,000-20,000 ฟุต) และเข้าไปในเขตที่เรียกว่า "ช่องว่าง" บนแผนที่อันเป็นที่ที่แผนที่ปรากฎเป็นสีขาวสะอาดและไม่มีลักษณะภูมิประเทศอยู่เลย" บนธารน้ำแข็งสายหนึ่งมีร่องรอยของแพะภูเขาเดินข้าม ในทัดใดนั้นเขาก็เห็นรอยอื่นอีก
      "เป็นรอยที่ชัดเจนและมีความแตกต่างอย่างมาก เราสามารถเห็นนิ้วโป้งของทุกรอยได้ รอยนั้นตรงไปตามธารน้ำแข็งไกลหลายไมล์จนมองไม่เห็นความรู้สึกของผมบอกว่ารอยพวกนี้ อาจเกิดขึ้นในตอนกลางคืนหรือรุ่งเช้าของวันนั้นเอง เพราะไม่มีรอยเลอะเลือนที่ขอบของมันเลย ในบางแห่งคุณจะเห็นได้เลยว่ามีรอยที่สัตว์ตัวนี้กระโดข้ามช่องน้ำแข็งเล็ก ๆ โดยจะเห็นรอยนิ้วเท้าอย่างชัดเจน คุณจะเห็นได้ในรูปเหล่านี้ รอยเท้าจมลึกเกินกว่าที่คนอย่างเราจะทำได้ เราอาจจะตามรอยถ่ายภาพมันไปให้ไกลกว่านี้สักหน่อยถ้าเสบียงอาหารของเราไม่ร่อยหรอลง และพวกเราก็ยังมีเป้าหมายหลักที่จะเดินทางไปยังประเทศที่ไม่เคยมีใครเคยพบเห็นมาก่อนเลย ไม่เพียงแต่ชาวเชอร์ปาและชาวธิเบตที่ยังไม่เคยไป แต่รวมถึงชาวยุโรปด้วย"
      ต่อจากนั้นทั้งชิพตั้นแลวาร์ด ก็หลงเข้าไปในเขตธิเบตและถูกจับกุมโดยทหารรักษาการณ์ของกองทัพธิเบต เพียงเพื่อเรียกค่าไถ่ในราคาคนละหนึ่งปอนด์เท่านั้น 

  อย่างไรก็ตามนักสัตววิทยา ดับเบิ้ลยู เซเนสกี้ จากมหาวิทยาลัยควีนแมรี่ลอนดอน ได้ทำการวิเคราะห์รอยเท้าที่ชิพตั้นพบอย่างละเอียด โดยการสร้างแบบจำลองขึ้นมาใหม่และเปรียบเทียบมันกับรอยเท้าของลิงกอริลล่า, มนุษย์ยุคหิน และมนุษย์ ไม่มีรอยใดที่มีนิ้วเท้าทั้งสองที่กว้างใหญ่ และมีกระดูกอุ้งเท้าที่สั้นผิดปกติเช่นนี้เลย เขาวินิจฉัยออกมาว่ารอยเหล่านั้นไม่มีส่วนใดที่คล้ายกับหมีหรือลิงแลงกูร์เลย "หลักฐานทั้งหมดแสดงออกมาว่า" เขากล่าว "สิ่งที่เราเรียกกันว่า มนุษย์หิมะนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสองเท้าที่โครงสร้างใหญ่และหนาทึบ เป็นไปได้มากกว่า เป็นชนิดเดียวกันกับซากฟอสซิสของ GIGANTOPITHECUS" ข้อวินิจฉัยเช่นนี้ทำให้เยติใกล้จะเป็น "ห่วงโซ่ที่หายไป" ดังที่นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงบางคนกล้ายอมรับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น